Programmer/PHP/Ajax/Jquery/E-Commerce/SEO (บทความ สาระน่ารู้ เทคนิคมั่ว ๆ สไตล์ Mr.Botman)
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Web 2.0 และ Web 3.0 คืออะไร
Web 2.0 และ Web 3.0 คืออะไร
กล่าวถึงวิวัฒนาการของการทำเว็บไซต์ตั้งแต่อดีต มาจนถึงแนวคิดการสร้างเว็บในปัจจุบันที่รองรับอนาคตและดูเป็นระบบมากขึ้น รวมถึงการช่วยในการจัดการนำเสนอข้อมูลรูปแบบต่างๆ
หลายคนคงยังไม่รู้จัก แนวคิดในการสร้างเว็บไซต์ 2.0 และเว็บไซต์ 3.0 ว่ามีความหมายอย่างไร ซึ่งถ้าหากพูดถึงภาพรวมแล้วก็คือการสร้าง Social Network ที่ให้ผู้ใช้งานเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ข้อมูลภายในเว็บไซต์มากขึ้น และคัดข้อมูลมานำเสนอผู้ใช้งานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งเราแยกความหมายได้ดังนี้
การพัฒนาเว็บไซต์ 2.0
เป็นการมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานหรือสมาชิกภายในเว็บไซต์มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ข้อมูล โดยลูกเล่นที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เว็บบล็อก (ฺBlog) ที่ให้ผู้ใช้งานได้เขียนเรื่องราวนำมาแชร์ให้กับคนอื่นๆ ได้อ่านและศึกษา การอนุญาติให้ แสดงความเห็น (Comment) ภายในเว็บไซต์ เพื่อให้เกิดเนื้อหา มุมมอง ที่เป็นทัศนคติของแต่ละคน นอกเหนือจากเว็บไซต์ในรูปแบบเ่ก่าที่ผู้นำเสนอข้อมูลมักจะเป็น Webmaster หรือทีมงานเจ้าของเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว
เราจึงเห็นได้ว่าแนวคิดการพัฒนาเว็บไซต์ 2.0 นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างสังคมได้อิสระแล้ว ยังทำให้เว็บไซต์มีเนื้อหาที่อัพเดททันเหตุการณ์มากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้งานหลายๆ คนได้ระดมความคิดและเขียนออกมาเป็นเรื่องราวสื่อข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา(Content), รูปภาพ (Picture), วีดีโอ (Video) และ เสียง (Sound) รวมถึงสื่อต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้มีการโอนถ่ายข้อมูล Upload - Download ระหว่างกัน เป็นต้น
การพัฒนาเว็บไซต์ 3.0
เป็นการพัฒนาที่ต่อยอดมาจากเว็บไซต์ 2.0 แต่ว่ามุ่งเน้นทางด้านการจัดการข้อมูลที่เป็นระเบียบมากขึ้น โดยพัฒนาแนวคิดได้อย่างชาญฉลาดและสอดคล้องกับผู้ใช้งานในแต่ละกลุ่ม หรือแยกออกเป็นรายบุคคล ยกตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ หาเพื่อนออนไลน์ สมมุติว่าเราได้ทำการสมัครสมาชิกและระบุว่าเราเป็นคนในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อเราสมัครสมาชิกเสร็จ ระบบอาจจะดึงรายชื่อสมาชิกคนอื่นที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกันมาแนะนำให้เราได้รู้จัก เป็นต้น จากมุมมองนี้จะเห็นได้ว่าระบบได้พยายามคัดเลือกเพื่อนใหม่ให้กับเราได้อย่างเหมาะสม หรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น เว็บไซต์หางาน โดยเว็บไซต์อาจจะแนะนำงานใหม่ให้กับสมาชิกผู้สมัครงาน โดยคัดเลือกงานที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันกับตำแหน่งของที่อยู่ของผู้สมัครงาน เพื่อให้ผู้สมัครงานสามารถติดต่องานและไปสัมภาษณ์งานได้ง่าย เพราะรู้ธรรมชาิติของมนุษย์อยู่แล้วว่าผู้สมัครงานส่วนมากมักจะเริ่มหางานที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกับที่อยู่ของตนเสมอ
การออกแบบเว็บไซต์ 3.0 นี้จำเป็นจะต้องอาศัยผู้วางระบบที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ด้วย เพื่อที่จะได้นำหลักการดังกล่าวมาพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงบนเว็บไซต์
นอกจากการพัฒนาระบบที่มีการจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เว็บไซต์ 3.0 ยังมีมุมมองในการพัฒนาที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตด้านสถานที่หรือเวลา ยกตัวอย่างเช่นการเข้าใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ การถ่ายภาพบนมือถือและอัพโหลดไปยังเว็บไซต์ให้เพื่อนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านได้ชมภาพเหล่านั้น หรือการให้อุปกรณ์ต่อพ่วงระบบ GPS บนรถยนต์รายงานพิกัดตำแหน่งไปยัง Server ของเว็บไซต์ที่ให้บริการ เพื่อบ่งเส้นทางการเดินทางให้กับผู้ขับขี่ เป็นต้น
ทั้งนี้การออกแบบเว็บไซต์ภายใต้แนวคิดต่างๆ นั้นสามารถทำได้กับทุกเว็บไซต์ ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ Web Application และความต้องการของลูกค้าที่จะนำมาใช้เลือกพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจโดยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงที่สุด
credit : kobsoft,รับทำเว็บไซต์
Top 38 Best Free Web 2.0 Sites list for SEO and Link Building
Top 38 Best Free Web 2.0 Sites list for SEO and Link Building
ในปัจจุบัน การสร้าง back-link ที่มีค้า PR สูงๆ ถือว่ามีความจำเป็นต่อการทำ SEO เป็นอย่างมาก ผมได้รวบรวม web 2.0 ไว้ให้ โดยเรียงจาก ค่า PR สูงไป ต่ำ ครับ
Serial Number | Web 2.0 Site | Page Rank |
---|---|---|
1 | wordpress.com | 9 |
2 | tumblr.com | 8 |
3 | jimdo.com | 8 |
4 | weebly.com | 8 |
5 | wix.com | 8 |
6 | webs.com | 7 |
7 | blog.fc2.com | 7 |
8 | edublogs.org | 7 |
9 | evernote.com | 7 |
10 | yola.com | 7 |
11 | webnode.com | 6 |
12 | blog.com | 6 |
13 | zimbio.com | 6 |
14 | ucoz.com | 6 |
15 | wikia.com | 6 |
16 | overblog.com | 6 |
17 | bravesites.com | 5 |
18 | beep.com | 5 |
19 | soup.io | 5 |
20 | cabanova.com | 5 |
21 | jigsy.com | 5 |
22 | devhub.com | 5 |
23 | pen.io | 5 |
24 | smore.com | 5 |
25 | snappages.com | 5 |
26 | page.tl | 5 |
27 | jigsy.com | 5 |
28 | fotki.com | 5 |
29 | postbit.com | 4 |
30 | manifo.com | 4 |
31 | tblog.com | 4 |
32 | bcz.com | 4 |
33 | all4webs.com | 3 |
34 | magnoto.com | 3 |
35 | enexpress.net/ | 2 |
36 | blogster.com | 2 |
37 | zohosites.com | 0 |
38 | blinkweb.com | 0 |
Tag : Web 2.0
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558
One Page และ Multiple Page คืออะไร
One Page
ถาม : ระบบ One Page คืออะไร
ตอบ : ระบบ One Page คือ การแสดงผลเว็บไซต์ที่สะดวก ง่าย และรวดเร็ว ด้วยการแสดงผลภายในหนึ่งหน้
Multiple Page
Multiple Page คือ การเขียนโปรแกรมแต่ละหน้าไว้ในไฟล์เดียวกัน โดยประโยชน์ของการทำ Multiple Page มีดังนี้
1. ความเร็ว การเขียนโปรแกรมไว้ในไฟล์เดียวกันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดข้อมูลในแต่ละหน้า (แต่อาจจะช้าตอนโหลดครั้งแรก เพราะทุก ๆ หน้าในไฟล์นั้นจะถูกโหลดขึ้นมาพร้อมกัน)
2. ครอบคลุมส่วนที่เหมือนกันไว้ในหน้าเดียวกัน เช่น หน้าสินค้า และหน้ารายละเอียดสินค้า เป็นต้น
3. สร้างความยืดหยุ่น และสะดวกในการควบคุมการกระทำบางอย่างภายในไฟล์เดียวกัน
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ทำความรู้จักกับ Anchor Text
การแค่หาลิงค์จากหลายๆเว็บไซต์คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เว็บของคุณได้อันดับที่ดีใน search engine หรอกครับ เพราะคุณภาพของ anchor text จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำอันดับใน keyword ที่ต้องการโดยเฉพาะใน keyword ที่มีการแข่งขันสูงครับ
Anchor Text คืออะไร
Anchor text หมายถึง คำที่เราเอามาสร้างลิงค์นั่นแหละครับ มันเป็นคำที่เวลาเราเอาเมาส์ไปชี้แล้วมันเปลี่ยนจากรูปลูกศรเป็นรูปมือ เช่น ในประโยคนี้ “ฉันชอบไปร้านค้าแห่งนี้จริงๆ” คำว่า “ร้านค้าแห่งนี้” คือ anchor text นั่นเองครับ

ทำไม Anchor Text ถึงสำคัญ
Search engine ทำการเก็บข้อมูลด้วยการท่องเที่ยวไปบนเว็บผ่านทางลิงค์ ข้ามจากเพจหนึ่งไปยังอีกเพจหนึ่ง link ก็เปรียบเสมือนเลือดเนื้อของ search engine ที่ถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้หลักในการบอกว่าหัวข้อของหน้าเว็บที่กำลังจะไปถึงคือเรื่องอะไร ถ้ามี 100 เว็บไซต์ลิงค์ไปยังเว็บๆหนึ่งโดยใช้คำว่า TexasArchitect หรือคำที่คล้ายๆกัน นั่นจะทำให้ search engine ค่อนข้างมั่นใจว่าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมใน texas ครับ
Keyword ที่เล็งไว้
ถ้าคุณต้องการให้หน้าเว็บติดอันดับใน keyword ที่ค่อนข้างยาก ให้มั่นใจว่าได้จดจ่อในการนำเอา keyword เหล่านี้ไปใช้ใน anchor text มีมือใหม่หลายท่านที่มักจะคิดว่าแค่ทำยังไงก็ได้ให้มีลิงค์มียังหน้าเว็บที่พวกเขากำลังปั่นแต่ก็ลืมคิดถึงเรื่อง anchor text ซึ่งถึงแม้ว่าการได้ลิงค์มายังเว็บของเราจะช่วยได้ แต่คุณก็ควรจะลองที่จะนำเอาส่วนหนึ่งของ keyword ของคุณใส่ลงไปใน anchor text เมื่อใดก็ตามที่คุณมีโอกาส
ปรับ Anchor Text เล็กน้อย
ลองนึกถึงสถานการณ์แบบนี้ครับ
คุณรู้ว่า keyword ไหนที่คุณกำลังเล็งไว้ และคุณกำลังเริ่มสร้างลิงค์ใน keyword ที่ต้องการ แน่นอนครับว่ามันดี แต่คุณก็ควรจะต้องระวังว่าลิงค์ที่เข้ามาทั้งหมดนั้นเหมือนกันเด๊ะๆหรือไม่ สมมติว่ามี 99% ของลิงค์ชี้มายังเว็บของคุณโดยใช้คำว่า Rocky Mountain Oysters ทั้งหมด นั่นจะเป็นการทำให้ Google คิดว่าลิงค์เหล่านี้มันไม่ปกติแล้วล่ะครับ ซึ่งมันไม่ดีและคุณคงไม่อยากทำให้ Google สงสัย
คุณรู้ว่า keyword ไหนที่คุณกำลังเล็งไว้ และคุณกำลังเริ่มสร้างลิงค์ใน keyword ที่ต้องการ แน่นอนครับว่ามันดี แต่คุณก็ควรจะต้องระวังว่าลิงค์ที่เข้ามาทั้งหมดนั้นเหมือนกันเด๊ะๆหรือไม่ สมมติว่ามี 99% ของลิงค์ชี้มายังเว็บของคุณโดยใช้คำว่า Rocky Mountain Oysters ทั้งหมด นั่นจะเป็นการทำให้ Google คิดว่าลิงค์เหล่านี้มันไม่ปกติแล้วล่ะครับ ซึ่งมันไม่ดีและคุณคงไม่อยากทำให้ Google สงสัย
ในทางกลับกัน ถ้าคุณต้องการจะให้คนอื่นลิงค์มายังเว็บของคุณ ให้ลองหาคำอื่นๆที่ใกล้เคียงกับ keyword นั้น เช่นคำว่า
“Rocky Mountain Oyster”, “Alternative Oysters,” “Rocky Mountain Festivals,” “Rocky Mountain Foods” เป็นต้น เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีหลายคนครับที่เคยทำการ spam anchor text และคุณจะต้องระมัดระวังในการทำสิ่งเหล่านี้ในทุกวันนี้ล่ะครับ
“Rocky Mountain Oyster”, “Alternative Oysters,” “Rocky Mountain Festivals,” “Rocky Mountain Foods” เป็นต้น เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีหลายคนครับที่เคยทำการ spam anchor text และคุณจะต้องระมัดระวังในการทำสิ่งเหล่านี้ในทุกวันนี้ล่ะครับ
Keyword และเรื่องของ URL
ในขณะที่คุณกำลังได้ลิงค์ใน anchor text ที่ต้องการแล้ว ขอให้มั่นใจว่ามันลิงค์ไปยังหน้าเว็บที่ถูกต้อง หลายๆครั้งที่เรามักจะเห็นข้อผิดพลาดที่มีการลิงค์ไปยังหน้าแรกของเว็บ แทนที่จะลิงค์ไปยังหน้าเพจที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริงๆ เช่น www.example.com/rocky-mountains/oysters.php ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก zianseo
ความเกี่ยวกับ การใช้ rel="nofollow" สำหรับลิงก์ที่เฉพาะเจาะจง
ใช้ rel="nofollow" สำหรับลิงก์ที่เฉพาะเจาะจง
"Nofollow" เป็นวิธีสำหรับผู้ดูแลเว็บในการบอกเครื่องมือค้นหาว่า "ไม่ติดตามลิงก์ในหน้าเว็บนี้" หรือ "ไม่ติดตามเฉพาะลิงก์นี้"
เริ่มแรก แอตทริบิวต์ nofollow ปรากฏในเมตาแท็กระดับหน้า และบอกเครื่องมือค้นหาไม่ให้ติดตาม (เช่น รวบรวมข้อมูล) ลิงก์ใดๆ ที่เชื่อมโยงไปภายนอกหน้าดังกล่าว เช่น
<meta name="robots" content="nofollow" />
ก่อนที่จะใช้ nofollow ในแต่ละลิงก์ การป้องกันโรบ็อตจากการติดตามแต่ละลิงก์ของหน้าต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก (ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนเส้นทางลิงก์ไปยัง URL ที่ถูกบล็อกโดย robots.txt) ซึ่งทำให้มีการสร้างค่าแอตทริบิวต์ nofollow ของแอตทริบิวต์ rel ขึ้น วิธีดังกล่าวทำให้ผู้ดูแลเว็บควบคุมหน่วยย่อยๆ ได้มากขึ้น โดยช่วยให้คุณสามารถสั่งโรบ็อตไม่ให้รวบรวมข้อมูลลิงก์ใดลิงก์หนึ่ง แทนการบอกเครื่องมือค้นหาและโรบ็อตไม่ให้ติดตามลิงก์ใดๆ ในหน้า เช่น
<a href="signin.php" rel="nofollow">ลงชื่อเข้าใช้</a>
Google จัดการกับลิงก์แบบ nofollow อย่างไร
โดยทั่วไปเราจะไม่ติดตามลิงก์เหล่านั้น ซึ่งหมายความว่า Google ไม่โอน PageRank หรือ anchor text ที่ลิงก์เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ nofollow ทำให้เราสามารถมองข้ามลิงก์เป้าหมายจากกราฟโดยรวมของเว็บของเราได้ อย่างไรก็ตาม หน้าเป้าหมายอาจยังคงปรากฏในดัชนีของเราได้ หากไซต์อื่นลิงก์ไปยังหน้าเหล่านั้นโดยไม่ใช้ nofollow หรือหาก URL ถูกส่งไปยัง Google ในแผนผังไซต์ นอกจากนี้ โปรดทราบว่าเครื่องมือค้นหาอื่นๆ อาจจัดการกับ nofollow ด้วยวิธีที่แตกต่างกันเล็กน้อย
นโยบายของ Google และตัวอย่างของการใช้ nofollow จำนวนหนึ่งเป็นอย่างไร
ต่อไปนี้คือบางกรณีที่คุณอาจต้องการพิจารณาที่จะใช้ nofollow:
เนื้อหาที่เชื่อถือไม่ได้: หากคุณไม่สามารถหรือไม่ต้องการรับรองเนื้อหาของหน้าที่คุณลิงก์มาจากไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น ความคิดเห็นของผู้ใช้ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือรายการในสมุดเยี่ยม คุณควรใช้ nofollow กับลิงก์เหล่านั้น ซึ่งเป็นการขัดขวางโปรแกรมส่งจดหมายขยะไม่ให้มีเป้าหมายมาที่ไซต์ของคุณ และจะช่วยป้องกันไซต์ของคุณจากการส่ง PageRank โดยไม่ได้ตั้งใจไปยังเพื่อนบ้านที่ไม่ดีบนเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักส่งสแปมความคิดเห็น อาจเลือกที่จะไม่กำหนดเป้าหมายระบบจัดการเนื้อหาเฉพาะ หรือบล็อกบริการหากเห็นว่าลิงก์ที่เชื่อมถือไม่ได้ในบริการนั้นเป็นแบบ nofollow หากต้องการชมเชยและตอบแทนผู้ร่วมเขียนข้อความที่เชื่อถือได้ คุณสามารถเลือกที่จะนำแอตทริบิวต์ nofollow ออกจากลิงก์ที่โพสต์โดยสมาชิกหรือผู้ใช้ที่มีการร่วมเขียนข้อความคุณภาพสูงตลอดเวลาที่ผ่านมาได้โดยอัตโนมัติหรือด้วยตนเอง
ลิงก์ที่มีการชำระเงิน: การจัดอันดับของไซต์ในผลการค้นหาของ Google ส่วนหนึ่งจะเป็นไปตามการวิเคราะห์ของไซต์ที่ลิงก์ไปยังไซต์ดังกล่าว เพื่อป้องกันมิให้ลิงก์ที่ชำระเงินมีอิทธิพลต่อผลการค้นหา และส่งผลกระทบทางลบกับผู้ใช้ เราจึงผลักดันให้ผู้ดูแลเว็บใช้ nofollow ในลิงก์ดังกล่าว หลักเกณฑ์เครื่องมือค้นหาต้องการให้มีการเปิดเผยลิงก์ที่ชำระเงินที่สามารถอ่านได้โดยเครื่องมือแบบเดียวกับที่ผู้ใช้แบบออนไลน์และออฟไลน์ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์ของการชำระเงิน (ตัวอย่างเช่น โฆษณาในหนังสือพิมพ์แบบเต็มหน้าอาจมีการพาดหัวว่า "โฆษณา") ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัศนคติของ Google เกี่ยวกับลิงก์ที่มีการชำระเงิน
การจัดลำดับความสำคัญของการรวบรวมข้อมูล: โรบ็อตของเครื่องมือค้นหาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้หรือลงทะเบียนเป็นสมาชิกในฟอรัมของคุณได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะเชิญ Googlebot ให้ติดตามลิงก์ "ลงทะเบียนที่นี่" หรือ "ลงชื่อเข้าใช้" การใช้ nofollow กับลิงก์เหล่านี้ทำให้ Googlebot สามารถรวบรวมข้อมูลหน้าอื่นๆ ที่คุณต้องการดูในดัชนีของ Google อย่างไรก็ตาม โครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรง ซึ่งได้แก่ การนำทางโดยสัญชาตญาณ ผู้ใช้และ URL ที่เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา และอื่นๆ - มีแนวโน้มที่จะใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิผลมากกว่าการมุ่งเน้นไปที่ลำดับความสำคัญของการรวบรวมข้อมูลผ่านลิงก์แบบ nofollow
nofollow ทำงานกับ API กราฟทางสังคมอย่างไร (rel="nofollow me")
หากคุณโฮสต์โปรไฟล์ของผู้ใช้ และอนุญาตให้ผู้ใช้ลิงก์ไปยังโปรไฟล์อื่นๆ ในเว็บ เราขอสนับสนุนให้คุณทำเครื่องหมายลิงก์เหล่านี้ด้วย microformat rel="me" เพื่อที่จะสามารถพร้อมใช้งานผ่าน API กราฟทางสังคม ตัวอย่างเช่น
<a href="http://blog.example.com" rel="me">บล็อกของฉัน</a>
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลิงก์เหล่านี้เป็นลิงก์ที่ผู้ใช้สร้างขึ้น และบางครั้งอาจนำทางไปยังหน้าที่เชื่อถือไม่ได้ เราขอแนะนำให้ทำเครื่องหมายลิงก์เหล่านี้ด้วย nofollow เช่น
<a href="http://blog.example.com" rel="me nofollow">บล็อกของฉัน</a>
ด้วย rel="me nofollow" Google จะยังคงปฏิบัติต่อ rel="nofollow" ตามที่คาดไว้สำหรับวัตถุประสงค์ในการค้นหา เช่น การไม่โอน PageRank แต่สำหรับ API กราฟทางสังคม เราจะนับลิงก์ rel="me" แม้ในกรณีที่มี nofollow.
อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถยืนยันการเป็นเจ้าของลิงก์โดยใช้เทคโนโลยีการระบุตัวตน เช่น OpenID หรือ OAuth คุณสามารถเลือกที่จะนำลิงก์ nofollow ออกได้
เพื่อป้องกันการรวบรวมข้อมูลของ URL rel="me nofollow" URL คุณสามารถใช้ robots.txt ทั้ง Googlebot และ API กราฟทางสังคมจะเคารพกฎการยกเว้น robots.txt มาตรฐาน
ที่มา กูเกิล บล็อกเกอร์ช่วยเหลือ
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง ชื่อบทความ หัวข้อบทความให้โดนใจ
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง ชื่อบทความ หัวข้อบทความให้โดนใจ
ในขั้นแรกของการเขียนบทความ การตั้งชื่อบทความ หรือการตั้งชื่อเรื่อง คือขั้นตอนแรกในการทำให้เนื้อหาของบทความนั้นน่าสนใจ และทำให้ผู้อ่านต้องการอ่านเนื้อหามากขึ้น สำหรับแนวทางในการตั้งชื่อบทความนั้น มีหลักการง่ายๆดังต่อไปนี้
วิธีการตั้งชื่อบทความ
จงตั้งชื่อเรื่องเกี่ยวกับเคล็ดลับ…
วิธีการ…
สูตร…
ขั้นตอนการ…
…วิธีในการเลือก…
เรียนรู้…
ลองนำประโยคข้างต้นไปแต่งเป็นหัวข้อเรื่องดูสิ เช่นหากบทความของคุณเกี่ยวข้องกับเรื่องของ อาหารไทย คุณอาจเขียนหัวข้อบทความว่า “เคล็ดลับการปรุงอาหารไทยให้อร่อยใน 5 นาที” เป็นต้น
ยังมีคำอีกมากมาย ที่คุณสามารถเลือกสรรค์นำมาตั้งเป็นชื่อของบทความ และโปรดจำไว้ว่า บทความที่ดี จำเป็นต้องเขียนหัวข้อเรื่องที่ดีและน่าสนใจด้วย ดังนั้นลองฝึกตั้งชื่อเรื่องบทความบ่อยๆ แล้วคุณจะมีทักษะในการตั้งชื่อบทความที่ดีมากขึ้น
เทคนิคการ เขียนบทความ ให้โดนใจลูกค้า
เทคนิคการ เขียนบทความ ให้โดนใจลูกค้า
การเขียนบทความ เป็นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะต้องมีทัศนคติและวิจารณ์ได้เป็นอย่างดี เทคนิคการ เขียนบทความให้โดนใจลูกค้า ผู้เขียนจะต้องสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้านั่นเอง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในผลงาน ดังนั้นผู้เขียนจึงมีหน้าที่ถ่ายทอดเนื้อหาสาระความรู้และประสบการณ์ให้ตรงกับข้อเท็จจริง
1.จุดประสงค์ของบทความ
ผู้เขียนต้องรู้ว่าบทความที่จะเขียนมีคอนเซ็ปต์แนวไหน ต้องการจะสื่อสารเนื้อหาสาระอะไรให้กับผู้อ่าน เพื่อให้ความหมายไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งผู้อ่านนั้นมีหลายกลุ่ม เช่น เด็ก วัยรุ่น คนชรา เป็นต้น และมีเนื้อหาสาระที่ดึงดูดใจ ตื่นเต้น เร้าใจ อ่านสนุก เพื่อให้ผู้อ่านในแต่ละกลุ่มทุกเพศทุกวัยได้รับความรู้และความบันเทิงใจไม่มากก็น้อย
2.การเขียนบทความในแต่ละหมวด
บทความนั้นมีหลากหลายลักษณะให้เขียน และมีหลายประเภทตามหมวดหมู่ด้วยกัน ผู้เขียนจึงต้องผสมผสานข้อเท็จจริงให้สอดคล้องกับการเขียนบทความในแต่ละหัวข้อเรื่อง โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้เขียน ในบางหัวข้อเรื่อง ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาจากแหล่งข้อมูลก่อน เพื่อเป็นการอ้างอิงในการเขียนบทความแต่ละเรื่อง ซึ่งผู้เขียนควรคำนึงถึงหัวข้อเรื่องและการนำเสนอเนื้อหารสาระที่น่าสนใจ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้มากที่สุด
3.การตั้งหัวข้อที่น่าสนใจ
หัวข้อเรื่องที่น่าสนใจก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการตั้งหัวข้อเรื่อง ที่สามารถชักนำหรือจูงใจให้แก่ผู้อ่านได้ดีทีเดียว และเป็นแรงจูงใจที่เชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาสาระของผู้เขียน จึงทำให้ผู้อ่านอยากอ่านมากยิ่งขึ้น การตั้งหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจแล้วยังจะต้องครอบคลุมถึงความต้องการ ที่จะสื่อความหมายในเนื้อหาในบทความนั้นๆ อีกด้วย ถ้าหากว่าเราต้องการจะอ่านข้อความหรือบทความอะไรสักอย่าง ก็มักจะสะดุดตากับหัวข้อที่หน้าสนใจอยู่เสมอค่ะ
4.การเขียนบทความให้กระชับและเข้าใจง่าย
การเขียนบทความให้กระชับและเข้าใจง่าย ผู้เขียนจะต้องสื่อความหมายสาระสำคัญของบทความให้ไปในทิศทางเดียวกัน ในการเขียนบทความก็ต้องใช้รูปแบบให้เหมาะสม ตามกับลักษณะของงานควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และผู้เขียนเลือกใช้คำต้องมีความถูกต้องในแง่ของความหมายตามที่ต้องการด้วย เมื่อเขียนบทความเสร็จแล้ว ให้ผู้เขียนอ่านทบทวนบทความอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากอ่านสะดุดประโยคไม่ต่อเนื่องกันจะได้แก้ไขหรือเรียบเรียงใหม่ ให้กระชับและเข้าใจง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในเนื้อหาสาระของบทความนั้นๆ อย่าแท้จริง
นอกจากนี้ผู้เขียนควรเรียนรู้งานด้านการอ่าน การเขียน คิด วิเคราะห์ ในการเขียนบทความได้หลายสไตล์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเทคนิคในการเขียนบทความให้โดดเด่นและน่าสนใจนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก ผู้เขียนทุกท่านก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการเขียนบทความอยู่แล้วค่ะ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจากท่าน นักเขียนรักษ์ Content Contributor Team: articleheros
เทคนิค การหาkeyword สำหรับเขียนบทความ
เทคนิค การหาkeyword สำหรับเขียนบทความ
ทำความรู้จักกับ Keywordtool.io
อันดับแรกมาทำความรู้จักเครื่องมือของเราก่อนครับ เครื่องมือที่ว่านี้คือเว็บไซต์แบบ io คือ www.keywordtool.io ซึ่งเป็นเว็บ Application ที่ให้บริการ นักเขียนบทความ หรือผู้ที่ต้องการคิด keyword เพื่อการนำไปใช้งาน โดยที่จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือ รองรับระบบการทำงานแบบภาษาไทยด้วย
จุดเด่นของเครื่องมือ keywordtool.io
1.สามารถค้นหา Keyword Suggestion ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่พิมพ์คำหลักที่เราสนใจและกดรูปแว่นขยาย
2.รองรับการค้าหาคำภาษาไทย
3.เรียงลำดับหมวดตัวอักษรอย่างถูกต้องและง่ายต่อการนำมาใช้งาน
4.สามารถค้นหา Keyword แจ่มๆ เพื่อเอาไปตั้งชื่อเรื่องใน Youtube ได้
5.สามารถค้นหา Keyword แจ่มๆ ที่มีการค้นหามากๆใน Bing ได้
6.สามารถเลือก Copy All เพื่อ Copy Keyword ทั้งหมด สำหรับการนำไปใช้เขียนบทความได้ทันที
7.เป็นบริการที่เปิดให้ใช้ฟรี!
วิธีการใช้งานเบื้องต้นแบบง่ายๆ
1.เลือกคำที่เราต้องการนำมาใช้งาน โดยควรเป็นคำสั้นๆอาทิเช่น “ครีมหน้าใส” เป็นต้น
2.พิมพ์ www.keywordtool.io
3.พิมพ์ข้อความคำว่า “ครีมหน้าใส” ลงในช่องค้นหา
4.เลือกเป็น Google.co.th และ Thai(ภาษาไทย)
5.ผลลัพธ์ปรากฎให้เลือกมากมาย
6.หากต้องการเลือกคำใดเป็นการเฉพาะให้เกดที่เครื่องหมาย + หลังคำนั้นๆ
7.หากต้องการเลือกคำทั้งหมด (แนะนำ) กด COPY ALL
8.ไฟล์ถูก Save มาเป็นไฟล์ Excel พร้อมสำหรับการใช้งาน
9.หากต้องการหา Keyword การค้นหาของ Youtube หรือ Bing สามารถทำได้โดยกดที่ Tab เหนือช่องค้นหา
เทคนิคการประยุกต์ใช้
สำหรับใครที่ได้คำหลักจำนวนมากมาแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไร อย่างนี้ ขออนุญาตแนะนำให้แบบง่ายๆเลยนะครับ คือ ให้นำคำหลักทั้งหลายที่ได้มานี้ไปเขียนเป็นบทความเลยครับ โดยเน้น Keyword หนึ่งเขียนเป็นบทความมาประมาณ 1-10 บทความ หากสามารถเขียนบทความได้ครบทุกจำนวน Keyword ที่ดาวน์โหลดมา จะมีทราฟิกธรรมชาติจำนวนมาก ที่เข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา ซึ่งจะส่งผลให้เรานั้นสามารถนำผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้าได้นั่นเอง
เทคนิคการเขียนบทความseo ให้โดนใจกูเกิ้ล และผู้อ่านมากที่สุด!
เทคนิคการเขียนบทความseo ให้โดนใจกูเกิ้ล และผู้อ่านมากที่สุด!
1.ตั้งชื่อบทความ โดยให้ Keyword นั้นปรากฏในส่วนหน้าของบทความก่อน
ข้อแรกคือ ให้เราทำการตั้งชื่อบทความ โดยให้ส่วนหน้าของชื่อเรื่องนั้น เป็น Keyword ที่เราต้องการให้ติดอันดับก่อนตัวอย่างเช่น
หากเรากำลังเขียนบทความ โดยใช้ Keyword คำว่า “เขียนบทความseo” อย่างนี้เวลานำมาตั้งเป็นชื่อของบทความ จะได้ดังนี้คือ
แบบที่ 1 “เขียนบทความseo อย่างไรให้โดนใจกูเกิ้ล”
แบบที่ 2 “โคตรเทคนิค เขียนบทความseo ที่ดันเว็บสู่หน้าแรกอย่างรวดเร็ว”
แบบที่ 3 “เรียนรู้เทคนิคการเขียนบทความseo”
จะเห็นว่า เราสามารถเขียนออกมาได้ทั้งสามแบบเลยนะครับ แต่การเขียนบทความseo สำหรับชื่อเรื่องนั้น แบบที่ 1 จะส่งผลดีที่สุดครับ
2.ชื่อบทความต้องมีความยาวไม่เกิน 62 ตัวอักษร
ชื่อบทความที่มีผลต่อseo ดีที่สุดนั้นต้องมีความยาวไม่เกิน 62 ตัวอักษรนะครับ เพราะความยาวของตัวอักษรนี้ จะไปปรากฎในหน้า SERPs ของกูเกิ้ล ซึ่งหากเราตั้งชื่อที่ยาวมากกว่านี้ จะส่งผลให้เกิดการตัดคำที่หน้าแรกของ Google และนั่นทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจว่า ลิ้งค์ที่อ่านนั้นต้องการสื่อความหมายอะไรกันแน่ ดังนั้นเน้นๆเลยคือไม่เกิน 62 ตัวอักษร3.แบ่งเว้นวรรคตรง Keyword เสมอสำหรับชื่อเรื่อง
กลยุทธ์พิเศษ ในการทำให้บทความseo นั้นสามารถติดหน้าแรกได้อย่างรวดเร็วคือ การใช้เทคนิคแบ่งคำ Keyword โดยการเว้นวรรคหนึ่งครั้งตัวอย่างเช่น
แบบที่ 1 “เขียนบทความ seo_ อย่างไรให้โดนใจกูเกิ้ล”
แบบที่ 2 “โคตรเทคนิค_เขียนบทความ seo_ที่ดันเว็บสู่หน้าแรกอย่างรวดเร็ว”
แบบที่ 3 “เรียนรู้เทคนิคการ_เขียนบทความseo”
4.ใส่ Keyword ไม่เกิน 1-2 คำในชื่อเรื่องเท่านั้น
ประเด็นต่อมาคือ จำนวนkeyword ที่นำมาใช้ในการใส่เข้าไปที่ชื่อเรื่องนั้น ไม่ควรเกินกว่า1-2 คำเท่านั้น เพราะหากมีความยาวที่มากเกินกว่านี้แล้ว สุดท้ายจะส่งผลให้เกิดการ spam keyword ส่งผลให้คุณนั้นไม่สามารถทำอันดับได้ครับ ดังนั้นเน้นๆเพียงแค่ 1-2 คำเท่านั้นพอแล้วครับ5.แบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสามส่วนเสมอ
ต่อมาคือ การแบ่งหน้าของบทความseo ออกเป็นสามส่วนเสมอ ได้แก่ส่วนของการเกริ่นนำ ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนของการสรุป โดยมีการแบ่งสัดส่วนของการเขียนออกเป็นดังต่อไปนี้คือส่วนเกริ่นนำ ประมาณ 30% ของเนื้อหาบทความ
ส่วนเนื้อหาย่อย ประมาณ 60% ของเนื้อหาบทความ
ส่วนสรุป ประมาณ 10% ของเนื้อหาบทความ
และในทุกๆพารากราฟนั้น ต้องมีการเว้นวรรค 1 บรรทัดเสมอๆนะครับ เพื่อให้ผู้อ่านนั้นสามารถอ่านบทความได้อย่างง่ายดาย และรู้ประเด็นของเนื้อหาในแต่ละช่วงว่าเป็นอย่างไร และมีใจความสำคัญของในแต่ละส่วนอย่างไรด้วย
6.เทคนิคการเขียนบทความseo ส่วนเกริ่นนำ
สำหรับเทคนิคการเขียนบทความseoในส่วนของการเกริ่นนำนั้น ให้เน้นไปที่การกล่าวถึงภาพรวมของเนื้อหาที่เราจะเขียนออกไป หรืออาจเป็นเรื่องของการเร้าอารมณ์ให้ผู้อ่านอยากอ่านเนื้อหาในส่วนของเนื้อหาย่อยก็ได้ แต่หัวใจสำหรับการเขียนตรงประเด็น เกริ่นนำนี้คือ6.1ใส่ Keyword เข้าไปอย่างน้อย 2-3 คำ
6.2ทำตัวหนา ในส่วนของKeyword ไม่เกิน 3 คำ
6.3กระจ่ายKeyword ให้อยู่ในส่วนของเนื้อหาเกริ่นนำอย่างสมดุล
6.4ไม่ต้องทำการเคาะย่อหน้า
ตัวอย่างเช่น Keyword “ความสำเร็จ”
ในปัจจุบันนี้หนุ่มสาวต่างเข้าสู่ภาวะของการเร่งรีบในการทำงาน และการสร้างความสำเร็จ ดังนั้นหัวใจสำคัญประการหนึ่งของการแสวงหาความสำเร็จนั่นคือ การดูแลตนเองทั้งในด้านสุขภาพ และด้านของภาวะจิตใจ ดังนั้นหากคุณปรารถนาและกระหายในความสำเร็จแล้ว บทความนี้จะขอเสนอแนวคิดง่ายๆในการบริการสุขภาพการและใจเพื่อความสำเร็จของคุณ ที่เมื่ออ่านจบแล้ว สามารถปฏิบัติได้ทันที มีวิธีการอย่างไรบ้าง ไปชมพร้อมๆกันเลยครับ
7.การเขียนเนื้อหาในส่วนของเนื้อหาย่อย
ในส่วนของการเขียนเนื้อหาย่อยนั้น ให้เราทำการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ซึ่งจะช่วยให้เรานั้นสามารถสร้างเนื้อหาที่ดีและเป็นประโยชน์ต่องานเขียนบทความseo ได้อย่างไม่ยากนักสูตรการเขียนจะเป็นดังนี้
7.1 เขียนเนื้อหาในรูปแบบของหัวข้อย่อยเสมอๆ
7.2 เว้นวรรคทุกบรรทัดหัวข้อย่อย
7.3 อย่าพยายามใส่เลขนำหน้าหัวข้อย่อย
7.4 รักษาความสวยงาม และความสมดุลของบรรทัดไว้
7.5 ใส่ตัวหนาได้ไม่เกิน 1 ที่สำหรับ Keyword
7.6 พยายามให้มี Keyword กระจายไปให้ทั่วทั้งบทความ
7.7 หัวข้อย่อยแต่ละตัวให้ตั้งเป็นตัวหนา (bold) และมีขนาดที่ H2 เสมอ
8.การเขียนบทความseoในส่วนของการสรุป
ส่วนสุดท้ายของการเขียนบทความseo คือการเขียนเนื้อหาในส่วนของการสรุป ซึ่งแน่นอนว่าส่วนนี้นั้น เป็นส่วนที่อธิบายถึง บทสรุปของการทำหรือปฏิบัติตามแนวของบทความ ซึ่งเป็นเสมือนจุดสุดท้ายที่ให้ผู้อ่านนั้นได้ระลึก หรือว่าได้เห็นความสำคัญของบทความนี้มากยิ่งขึ้น โดยหลักคือเขียนเพียง 10% ของจำนวนบทความทั้งหมดเท่านั้น9.แทรกรูปภาพเข้าไปด้วยเสมอ
ทุกครั้งที่เราเขียนบทความลงไปในเว็บไซต์ ให้เรานั้นทำการแทรกรูปภาพ ที่มีการตั้งชื่อไฟล์ภาพ เป็นชื่อ Keyword และตั้งชื่อ Keyword ลงไปอีกครั้งในช่องค่า Alt การทำแบบนี้จะช่วยดันอันดับบทความของเรา ให้ขึ้นหน้าแรกโดยใช้เวลาเพียงไม่นานเลยครับขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก ท่าน บก.ฮีโร่ซัง
เทคนิคลับที่ไม่ลับ 5 วิธีใช้บทความseo เพื่อให้คุณนำหน้าเว็บคู่แข่ง
เทคนิคลับที่ไม่ลับ 5 วิธีใช้บทความseo เพื่อให้คุณนำหน้าเว็บคู่แข่ง
1.จำนวนบทความที่เหมาะสม
ประเด็นแรกคือ จำนวนบทความที่เหมาะสมต่อการใช้บรรจุลงเว็บไซต์ ถ้าเว็บคุณเป็นเว็บธุรกิจขายเครื่องสำอาง อาหารเสริม และคุณใช้บริการเว็บสำเร็จรูป คุณจะพบหมวดหมู่ที่เขียนว่า “บทความ” ปรากฎอยู่ นั่นแสดงให้เห็นขุมทองที่ยังหลับ คือหากคุณเขียนบทความลงไป มันจะเหมือนกัยรากไม้ที่งอกไปในดิน ยิ่งมีบทความมาก รากก็จะยิ่งดูดน้ำเข้ามาสู่ลำต้น(เว็บไซต์) ได้มากขึ้นมาก ดังนั้นเพื่อสร้างรากไม้นี้ จำนวนบทความที่ควรมีต่อเว็บต่อเดือนคือ 10-30 บทความต่อเดือน ต่อเว็บ โดยบทความนั้นควรมีความยาวไม่ตำกว่า 500 คำ แน่นอนว่าอาจต้องใช้เวลานานสักหน่อยคือ คุณต้องสะสมบทความให้ได้อย่างน้อย 100-300 บทขึ้นไป แล้วจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อทำเว็บ จงตั้งเป้าเลยว่าฉันจะบรรจุบทความลงไปให้ได้อย่างน้อย 10-30 บทต่อเดือน และทุกเดือน จำไว้ว่ายิ่งบทความเยอะยิ่งได้เปรียบเสมอ
Tip! ใส่บทความทุกเดือนๆละ 10-30 บทความ และเป็นบทความขนาด 500 คำไทยขึ้นไป
2.ความสม่ำเสมอของการอัพเดท
ประเด็นต่อมาคือ ให้คุณนั้นหมั่นทำการอัพเดทบทความอยู่เสมอๆ โดยปกติ หากเป็นไปได้ควรอัพเดทบทความอยู่ที่ประมาณ สัปดาห์ละ 3-7 บทความ หรืออาจจะเฉลี่ยวันละ 1 บทก็ได้ เพราะการอัพเดทบทความบ่อยๆ จะทำให้ Bot เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นมีการเคลื่อนไหว ก็จะส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ในการค้าหาด้วยทีเดียว สำหรับใครที่ใช้ WordPress จะง่ายมากสำหรับการอัพเดทเพราะว่าคุณนั้นสามารถอัพเดทได้ล่วงหน้า และปล่อยให้โปรแกรมรันไปโดยอัตโนมัติ
Tip! จำนวนบทความที่อัพคืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-7 บทความ
3.ภาพถ่ายสำคัญที่สุด
อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้บทความของคุณน่าสนใจ และยังช่วยให้คุณนั้นสามารถก้าวนำคู่แข่งได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือการใช้เทคนิคภาพถ่ายเข้ามาเป็นตัวประกอบกับบทความ โดยภาพถ่ายนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ใช้ในการเขียนบทความด้วยนะครับ โดยคุณสามารถเลือกซื้อภาพมาจากเว็บขายภาพก็ได้ และที่สำคัญ จงตั้งชื่อไฟล์ภาพเป็นชื่อ Keyword และตั้งชื่อ Keyword ซ้ำอีกครั้งตรง Alt ครับ
Tip! ตั้งชื่อไฟล์ภาพให้ตรงกับชื่อ Keyword และตั้งชื่อ Keyword ลงในช่อง Alt เสมอๆ
4.นึกเสมอ บทความ seo คือการลงทุน
อย่าขี้เกียจเขียนบทความ การลงทุนในเรื่องของบทความ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณนั้นสามารถเอาชนะู่แข่งขันได้ มีตัวอย่างจริงมากมายที่พบว่าเว็บไซต์ที่มีการใส่บทความมากๆ มักทำอันดับในการค้นหาได้ดีกว่าอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นโปรดอย่าขี้เกียจเขียนบทความ ทำมันให้เหมือนที่คุณต้องตื่นนอนเพื่อทำการแปรงฟันในตอนเช้า แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาพอในการเขียนบทความ ก็อาจเลือกที่จะจ้างนักเขียนบทความที่มีคุณภาพก็ได้
Tip! ลงทุนเขียนบทความทุกวัน ถ้าไม่มีเวลาก็จ้างนักเขียนบทความสิครับ
5.เน้นประโยชน์ต่อผู้อ่านเข้าไว้
สุดท้ายเลยคือ บทความทุกบทความนั้นต้องมีสาระสำคัญที่มอบให้กับผู้อ่าน กล่าวคือ เรื่องนั้นต้องตรงประเด็นกับที่เขียนในเนื้อหา และเมื่อผู้อ่านอ่านจบแล้ว เขาสามารนำองค์ความรู้นั้นๆไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือนำไปพัฒนางานของเขาได้ หากเป็นอย่างนี้แล้ว บทความที่เขียนขึ้นมานั้นๆ ก็จะกลายเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างแท้จริง และช่วยเสริมมูลค่าให้กับเว็บไซต์ด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ท่าน บก.ฮีโร่ซัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)